ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium aromaticum (L.) Merr. & L.M.Perry.
ชื่อวงศ์ : Myrtaceae
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ดอกตูม
ลักษณะภายนอก :
ดอกตูม ความยาว 1-2 เซนติเมตร สีน้ำตาลแดงถึงน้ำตาลดำ ส่วนล่างของดอก (hypantium) มีลักษณะแข็ง ทรงกระบอก ที่มีความแบนทั้ง 4 ด้าน มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 อัน รูปสามเหลี่ยม อยู่สลับหว่างกับกลีบดอก 4 กลีบ ลักษณะเป็นแผ่นบางรวมอยู่ตรงกลาง ข้างในดอกประกอบด้วยเกสรตัวผู้จำนวนมาก และเกสรตัวเมีย 1 อัน ผงยามีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นเฉพาะ หอมแรง เป็นยาร้อน มีรสเผ็ดร้อน ฝาด ทำให้ลิ้นชา
รสยาและสรรพคุณยาไทย :
รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ช่วยขับลม
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา :
- 1. แก้อาการ ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
ในผู้ใหญ่- ดอกตูม 4-6 ดอกใช้ทุบให้ช้ำ ชงน้ำดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว หรือใช้ดอกแห้ง 5-8 ดอก ต้มน้ำพอเดือด ดื่มแต่น้ำ ถ้าบดเป็นผง 0.12-0.6 กรัม ชงน้ำสุกดื่ม
เด็กอ่อน- ใช้ดอกแห้ง 1 ดอก ทุบแช่ไว้ในน้ำเดือด 1 กระติก (ความจุราวครึ่งลิตร) สำหรับชงนมใส่ขวดให้เด็กดูด แก้ท้องอืด
- 2. แก้ปวดฟัน
ใช้น้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยด ใช้สำลีพันปลายไม้ จุ่มน้ำมันจิ้มลงในรูที่ปวดฟัน และใช้แก้โรครำมะนาด หรือใช้ทั้งดอกเคี้ยว แล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันเพื่อระงับอาการปวด หรือใช้ดอกกานพลูตำพอแหลกผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอแฉะใช้จิ้ม หรืออุดที่ปวดฟัน
- 3. ระงับกลิ่นปาก
ใช้ดอกตูม 2-3 ดอก อมไว้ในปาก จะช่วยทำให้ระงับกลิ่นลง
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ :
ดอกตูมของกานพลูประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย 14-20% ในน้ำมันหอมระเหยประกอยด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญคือ Eugenol มีปริมาณ 70-80% ของน้ำมันหอมระเหย นอกจากนี้ยังมี β-Caryophyllene, Acetyl Eugenol, Methyl, Amyl Ketone, Charicol, Eugenol acetate เป็นต้น สาร Eugenol มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องลดลง ช่วยขับ น้ำดี ลดอาการจุกเสียด และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
ที่มา :
ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชเวชกรรม โดย กองการประกอบโรคศิลปะสำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข